ThaiBMA จับตาหุ้นกู้ 84 บริษัทใหญ่-เล็ก ครบกำหนดปีนี้ 1.5 แสนล้าน
แอปฯ “MeBond” เวอร์ชั่นใหม่ เพิ่มประสิทธิภาพดูตราสารหนี้ เปิดโหลด 21 ก.ย.66
ครึ่งปี 66 บริษัทเอกชนไทยออกหุ้นกู้ลดลง พบผิดนัดชำระ 1.2 หมื่นล้านบาท
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ตลาดตราสารหนี้ไทยขยายตัว 5.8% จากสิ้นปี 2565 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ภาคเอกชน ขณะที่มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยสิ้นไตรมาส 3 ปี 66 มีมูลค่า 16.7 ล้านล้านบาท ขยายตัว 5.8% จากสิ้นปีที่แล้ว
โดยการออกตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้) มีมูลค่า 824,557 ล้านบาท คิดเป็น 65% ของมูลค่าการออกทั้งปี 2565 ซึ่งผู้ออกภาคเอกชนที่มีอันดับเครดิตสูงยังสามารถออกและเสนอขายหุ้นกู้ได้
แต่ก็ยังมีบางบริษัทขนาดใหญ่และขนาดเล็กบางแห่งได้เลื่อนการออกหุ้นกู้ไปก่อน เพื่อรอจังหวะตลาดและให้อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างนิ่งก่อน
สำหรับไตรมาส 4 ปี 66 มีหุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดรวม 156,750 ล้านบาท แบ่งเป็น Investment grade มี 49 บริษัท มูลค่า 133,919 ล้านบาท และ High yield มี 35 บริษัท มูลค่า 22,830 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (PROP) มีสัดส่วนมากที่สุด 39% ของทั้งกลุ่ม High yield หรือมูลค่า 10,348 ล้านบาท
โดยบริษัทเอกชน 10 อันดับแรกที่มีหุ้นกู้ระยะยาวครบกำหนดในไตรมาส 4 ปี 66
- CPALL มูลค่า 15,122 ล้านบาท
- TRUE มูลค่า 13,738.9 ล้านบาท
- SCC มูลค่า 10,000 ล้านบาท
- TUC มูลค่า 9,345.1 ล้านบาท
- ICBCTL มูลค่า 6,874 ล้านบาท
- MTC มูลค่า 6,655.8 ล้านบาท
- KKP มูลค่า 5,117.3 ล้านบาท
- BTSC มูลค่า 4,100 ล้านบาท
- SIRI มูลค่า 4,000 ล้านบาท
- BTSG มูลค่า 4,000 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นกู้ที่มีปัญหา โดยเฉพาะผิดนัดชำระ (Default) มูลค่ารวม 21,843ล้านบาท มี 7 บริษัท ได้แก่ ACAP, ALL, APEX, DR, IFEC, JKN, และ STARK
ด้านกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund flow) ขายสุทธิตราสารหนี้ไทยสะสม 1.5 แสนล้านบาท โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ถือครองรวม 9.4 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 5.6% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย ซึ่งสภาวะตลาดตอนนี้ยังคงมีแรงกดดันจากภายนอกประเทศ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของสหรัฐอเมริกาปรับตัวสูงขึ้นมากกว่าของไทย รวมถึงในด้านซัพพลายจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
“ตอนนี้ความกดดันที่สำคัญมาจากสภาพตลาด อัตราผลตอบแทนของเรากับของเขาต่างกัน แล้วก็ความกดดันอันที่สองในเรื่องของซัพพลาย ถ้าหากว่าการมีความชัดเจนขึ้นของนโยบายภาครัฐ และก็ความค่อย ๆ มีความชัดเจนขึ้นถึงตัวซัพพลายจากนโยบายเหล่านั้น ก็คงเป็นความกดดันของตลาดได้ และถ้าภาวะนี้ยังอยู่ตัวความกดดันในลักษณะดังกล่าวก็อาจจะยังคงอยู่” ดร.สมจินต์ กล่าว
นอกจากนี้การประกาศแผนการออกพันธบัตรรัฐบาลในปีงบประมาณ 2567 ที่เพิ่มขึ้น 0.16 ล้านล้านบาท ประกอบกับเริ่มมีความชัดเจนในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 2.54% ส่วน อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยอายุ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 3.18%
ขณะที่อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) อายุ 5 ปีของหุ้นกู้ทุกอันดับเครดิตปรับตัวสูงขึ้น ใกล้เคียงกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 อันดับเครดิต AAA ปรับตัวมาอยู่ที่ 3.48% AA ที่ 3.73% A ที่ 3.94% BBB+ ที่ 4.95% และ BBB ที่ 5.90%
ทั้งนี้ คาดว่ายอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวทั้งปี 2566 มีโอกาสแตะที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท สูงกว่ายอดการออกเฉลี่ยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ที่ 9.5 แสนล้านบาท
กรมอุตุฯ ประกาศเตือนฉบับที่ 2 พายุ “โคอินุ”
โปรแกรมแข่งวอลเลย์บอลหญิงไทย รอบ 4 ทีมสุดท้าย ทำศึกเอเชียนเกมส์ 2022
เปิดปฏิทินวันหยุดตุลาคม 2566 เช็กวันหยุดราชการ-วันสำคัญ คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง